สมบัติของเลขยกกำลัง ม.2


อ่าน 20,314 ครั้ง

ทบทวนสมบัติเลขยกกำลัง ม.1

หากน้อง ๆ จำได้ เลขยกกำลังเราได้เกริ่นกันไปในระดับชั้น ม.1 ซึ่งน้องได้เจอสมบัติของเลขยกกำลังบางตัวกันมาแล้ว ทั้ง 5 ตัวด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็นสมบัติการคูณเลขยกกำลัง สมบัติการหารเลขยกกำลัง การยกกำลังด้วย \(0\) หรือ \(1\) และตัวสุดท้ายคือการยกกำลังด้วยเลขติดลบนั่นเอง

ใบบทนี้ระดับชั้น ม.2 เราจะมาเรียนเพิ่มอีกบาง สมบัติเลขยกกำลัง ที่สำคัญ เพื่อให้เราทำโจทย์ได้อย่างครอบคลุม ซึ่งจริง ๆ มันก็คือเรื่องต่อกันเลยครับน้อง ๆ ถ้าใครยังไม่แม่นสมบัติเลขยกกำลังทั้ง 5 ตัวด้านบน น้อง ๆ สามารถกลับไปทวนก่อนได้ที่หัวข้อ เลขยกกำลัง ม.1 ได้เลยนะ

1. สมบัติเลขยกกำลัง \((a^m)^n=a^{mn}\)

เราจะมาค่อย ๆ ดูทีละตัวกัน สมบัติเลขยกกำลัง ตัวแรกคือ หากเรามีเลขยกกำลังแล้วยกกำลังอีกที เราสามารถนำเลขยกกำลังมาคูณกันได้เลย

\((a^m)^n=a^{mn}\)

ตัวอย่างการใช้เช่น \((4^2)^3\) เราสามารถดึง \(3\) เข้ามาคูณกับกำลัง \(2\) ได้เลยเป็น \(4^{2\times 3}=4^{6}\) ทีนี้เราจะมาดูกันว่าทำไมถึง นำเลขยกกำลังมาคูณกัน ได้เลย ให้น้อง ๆ นึกถึงคอนเซปต์เลขยกกำลังไว้เสมอครับ เลขยกกำลังคือการคูณกันซ้ำ ๆ ตัวเดิม

จากภาพ ถ้าจะมองให้ง่ายคือเราจะทำในวงเล็บก่อน \(4^2\) เรารู้อยู่แล้วว่า \(4^2=4\times4\) พี่อยากให้น้อง ๆ ปิด \(4\times 4\) ด้วยกล่องและมองมันเป็นก้อน ๆ เดียวนะ ที่เรากำลังจะนำมันไป ยกกำลัง 3 เราก็จะได้ว่า นำกล่องคูณกับตัวมันเองไป 3 ตัว

\(\boxed{4\times 4}^3=\boxed{4\times4}\times\boxed{4\times4}\times\boxed{4\times4}\)

เราจะสังเกตว่า ทั้งหมดก็เป็นเครื่องหมายคูณ ดังนั้นเราก็สามารถรวมมันได้ แต่มันจะแตกต่างจากสมบัติเลขยกกำลัง \(a^m\cdot a^n=a^{m+n}\) ตรงที่ว่า แต่ละก้อนสี่เหลี่ยมก็มี \(4\) คูณกัน 2 ตัว และเราคูณมันทั้งหมด 3 ก้อน ดังนั้น จะมี \(4\) ทั้งหมด

(3 ก้อน) \(\times\) (ก้อนละ 2 ตัว) \(=3\times2=6\) ตัว

นี่แหละครับเป็นที่มาว่าทำไมเราถึงจับ เลขยกกำลัง มาคูณกันได้เลย ได้เป็นสมบัติเลขยกกำลัง อันนี้ \((a^m)^n=a^{mn}\) ซึ่งมันก็สามารถสลับที่ได้ด้วย เพราะการคูณมีสมบัติการสลับที่ เราเลยได้ว่า \((a^m)^n=a^{mn}\) \(=a^{\color{blue}{nm}}=(a^n)^m\)

\(\left(a^m\right)^n\) กับ \(a^{m^n}\) ไม่เหมือนกัน !

จุดนี้ต้องระวังด้วยนะครับน้อง ๆ เพราะว่าการที่เราใส่วงเล็บกับไม่ใส่วงเล็บนั้นช่างแตกต่าง แบบแรก \(\left(a^m\right)^n\) ก็คือแบบในสมบัติเลขยกกำลังด้านบน แต่แบบหลัง เราจะต้องนำเลขยกกำลังมายกกำลังกันก่อน และค่อยกลับมาให้ฐาน อารมณ์เหมือนทำจากบนลงล่างนั่นเอง

ตัวอย่างเช่น \(4^{2^3}\) เราจะคิดจากด้านบนสุด คือ \(4^{\color{blue}{2^3}}\) ซึ่ง \(2^3\) ได้ \(8\) ดังนั้น \(4^{2^3}=4^8\) ซึ่งมีค่าไม่เท่ากับ \((4^2)^3=4^{2\times3}=4^6\)

และถ้าน้องเจอยกกำลังซ้อนกันแบบหลาย ๆ ชั้นหล่ะ เช่น \(3^{1^{3^2}}\) เราก็จะเริ่มทำจากด้านบนนั่นเอง \(3^{1^{\color{blue}{3^2}}}=3^{1^{\color{blue}{9}}}=3^{\color{red}{1^9}}=3^{\color{red}{1}}=3\) ซึ่งจะแตกต่างกับตัวอย่างโจทย์ด้านล่าง ลองฝึกทำกันดูนะ

จงเขียน \(\left(\left(3^1\right)^3\right)^2\) อยู่ในรูปเลขยกกำลังอย่างง่าย

เฉลย

เลขยกกำลังซ้อนแบบมีวงเล็บ เราสามารถใช้สมบัติเลขยกกำลัง \((a^m)^n=a^{mn}\) ได้เลย

และถ้ามีหลาย ๆ ตัว ก็สามารถจับคูณหมดได้เลยครับ \(\left(\left(3^1\right)^3\right)^2=3^{1\times3\times2}=3^6\)

ใครยังคิดไม่คล่องก็สามารถค่อย ๆ คิดจากข้างในออกมาข้างนอกก็ได้เหมือนกันนะ

\(\require{cancel}\begin{aligned} \left(\left(3^1\right)^3\right)^2&=(3^{1\times3})^2 \\&=(3^3)^2 \\&=3^{3\times2}=3^6 \end{aligned}\)

จงเขียน \(\left(2^4\right)^{3^3}\) ในรูปอย่างง่าย

เฉลย

ข้อนี้พี่จะวัดความเข้าใจเรา ในเรื่องความแตกต่างของกำลังซ้อนกำลังแบบมีและไม่มีวงเล็บอยู่ด้วยกัน สำหรับทริคที่พี่ชอบทำก็คือ อะไรที่เป็นวงเล็บหรือก้อนของมัน เราลองปิดมันและแทนด้วยสี่เหลี่ยม และลองมองภาพใหม่ดูว่าง่ายขึ้นหรือเปล่า

เรารู้แล้วว่า \((2^4)\) อยู่ในวงเล็บ ดังนั้น มันเหมือนมีเกาะป้องกัน เราจะทำทุกอย่างนอกวงเล็บให้เสร็จ และในวงเล็บก็จะยังไม่ถูกทำอะไร ดังนั้นโจทย์เลยกลายเป็น \(\boxed{\phantom{2^4}}^{3^3}\) พอไม่มีวงเล็บแล้วพี่ว่าน้อง ๆ น่าจะเริ่มมองมันออกง่ายขึ้นครับ ว่ามันคือเลขยกกำลังซ้อนกันแบบที่สอง ที่ต้องทำจากด้านบนลงมา

\(\boxed{\phantom{2^4}}^{3^3}=\boxed{\phantom{2^4}}^9\) จากนั้นเราแทนวงเล็บกลับ อย่าลืมเอาวงเล็บมันมาด้วยนะครับ \(\left(2^4\right)^9\) เราจะได้ว่ามันคือแบบแรก เลยได้คำตอบเป็น \(2^{4\times9}=2^{36}\)

ทีนี้หากพี่ถามน้อง ๆ ว่า \(\left(a^m\right)^n\ne a^{m^n}\) เสมอ ใช่หรือไม่ เนื่องจากน้อง ๆ รู้แล้วว่ามันคิดไม่เหมือนกัน ดังนั้นค่ามันก็ไม่เหมือนกันถูกต้องแล้วครับ แต่ในบางกรณี มันก็เท่ากันได้นะ เช่น \(\left(2^2\right)^2\) กับ \(2^{2^2}\) ทั้งสองมีค่าเป็น \(2^4\) ทั้งคู่ ดังนั้น การที่บอกว่า \(\left(a^m\right)^n\ne a^{m^n}\) เสมอ ไม่ถูกต้อง

2. สมบัติเลขยกกำลัง \((ab)^n=a^nb^n\)

ถ้าน้อง ๆ มีเลขยกกำลังที่อยู่บนตัวอะไรกำลังคูณกัน เราสามารถกระจายยกกำลังให้แต่ละตัวได้เลย พี่อยากให้น้องมองภาพด้านล่าง เพียงแค่เราจับกลุ่มแบบใหม่ เราจะเห็นสมบัติเลขยกกำลังตัวนี้ชัดขึ้นเลยครับ

ด้านซ้ายพี่มี \((2\cdot4)^3\) ซึ่งหากเราจับกลุ่มแนวนอน น้อง ๆ จะได้ ก้อน \(\boxed{2\cdot4}\) คูณกันสามก้อน นั่นก็คือ \(\boxed{2\cdot4}^3\) แต่หากเราจับกลุ่มและมองแบบใหม่ แบบด้านขวามือ โดยการจับเลขเดียวกันคูณกันก่อน เราก็จะได้แยกเป็นแต่ละตัวยกกำลัง 3 ได้เป็น 2 พจน์ คือ \(2^3\) คูณกับ \(4^3\) ดังนั้น สมบัติเลขยกกำลัง ที่เราได้ก็จะเป็น

\((ab)^n=a^nb^n\)

ไม่เพียงแค่น้อง ๆ มีเลขสองตัวคูณกัน \(a\) กับ \(b\) แล้วยกกำลังเท่านั้นนะครับ แต่หากน้อง ๆ มีเลขหลายตัวคูณกันก็สามารถกระจายเลขยกกำลังเข้าไปได้เลย ถ้าทุกตัวคูณกันหมด เช่น \((abc)^n=a^nb^nc^n\) และ \((abcd)^n=a^nb^nc^nd^n\)

3. สมบัติเลขยกกำลัง \(\left(\dfrac{a}{b}\right)^n=\dfrac{a^n}{b^n}\)

ข้อนี้มองคล้าย ๆ ข้อที่แล้วได้เลยครับผม การหารกันก็เหมือนการคูณนั่นแหละครับน้อง ๆ เรากระจายเลขยกกำลังไปให้ทั้งเศษและส่วนได้เลย

จากภาพด้านบน น้อง ๆ จะเห็นได้ง่ายเลยครับว่าสมบัติข้อ 2 กับข้อ 3 ที่เราเรียนกัน มันมาจากวิธีจากจับกลุ่มเท่านั้นเอง ว่าน้อง ๆ จะทำตัวเลขตรงไหนก่อนกัน

\(\left(\dfrac{a}{b}\right)^n=\dfrac{a^n}{b^n}\)

และถ้ามันมีทั้งคูณและหารหล่ะ ?

สมมติเรามี \(\left(\dfrac{ab}{cde}\right)^n\) ก็ไม่ยากครับน้อง ๆ เราสามารถนำสองสมบัติมารวมกันและกระจาย ยกกำลัง \(n\) ให้ทุกตัวได้เลย จะได้เป็น \(\dfrac{a^nb^n}{c^nd^ne^n}\)

จงทำ \(\dfrac{10(a^2b^3)^2}{5a^4b^{-2}}\) ให้เป็นรูปอย่างง่าย

เฉลย

พี่จะขอทำทีละส่วน เริ่มที่เศษก่อน \(10(a^2b^3)^{\color{blue}{2}}\) เราสามารถกระจายยกกำลังสองเข้าไปได้เลย จะได้เป็น \(10(a^2)^{\color{blue}{2}}(b^3)^{\color{blue}{2}}\) จะสังเกตว่าในแต่ละส่วน เราสามารถใช้สมบัติที่ 1 คูณเลขยกกำลังได้เลย \(10a^{2\times2}b^{3\times2}=10a^4b^6\)

ต่อมาเราจะเห็นว่าตัวส่วนเป็นรูปแบบอย่างง่ายอยู่แล้ว ดังนั้น เราจะรวมตัวเศษอย่างง่ายที่เราคิดมาเข้ากับตัวส่วน จะได้เป็น \(\dfrac{10a^4b^6}{5a^4b^{-2}}\)

จากนั้นเราจะไปใช้สมบัติเลขยกกำลังที่เราเรียนกันมาตอน ม.1 หากฐานเหมือนกันคูณกันให้นำเลขยกกำลังมาบวกกัน ส่วนถ้าหารกันให้นำเลขยกกำลังมาลบกัน นั่นเอง

เราจะได้ว่า \(\dfrac{10a^4b^6}{5a^4b^{-2}}=2a^{4-4}b^{6-(-2)}=2a^0b^8\) และเรารู้ว่าอะไรกำลังศูนย์ก็จะได้ \(1\) เสมอ

ดังนั้นข้อนี้ตอบ \(2b^8\)

อย่างโจทย์ข้อบน หากน้อง ๆ คิดได้แล้วดูเฉลยกันแล้ว ลองย้อนกลับไปดูกันหน่อยครับว่า เราได้คำตอบของโจทย์นี้ใช้เวลาคิดนานประมาณไหน สำหรับพี่เวลาพี่แปลงเรื่องเลขยกกำลังให้เป็นรูปแบบอย่างง่าย พี่จะมีทริคว่า ให้ทำฐานแต่ละตัวแยกกัน เพราะว่าอะไรครับ เพราะว่าสมบัติเลขยกกำลังแทบจะทุกตัว ต้องมีฐานที่เหมือนกันนั่นเอง

\(\dfrac{10(a^2b^3)^2}{5a^4b^{-2}}\) ข้อนี้ พี่จะคิดแยกสามส่วน ส่วนแรกคือ สัมประสิทธิ์ตัวเลข ส่วนที่สองคือ \(a\) และส่วนสุดท้ายคือ \(b\)

สำหรับส่วนสัมประสิทธิ์ \(\dfrac{{\color{blue}{10}}(a^2b^3)^2}{{\color{blue}{5}}a^4b^{-2}}\) ใช่แล้ว เรามีแค่ \(\dfrac{10}{5}=2\)

สำหรับส่วนฐานที่เป็น \(a\) ส่วนเศษเราต้องกระจายเลขยกกำลังเข้ามาคูณ และตัวส่วนก็นำไปลบออก จะได้เป็น \(a^{2\times2-4}=a^0=1\)

สำหรับฐานที่เป็น \(b\) ก็จะได้เป็น \(b^{3\times2-(-2)}=b^8\)

จับทุกอย่างมารวมกันคูณกันได้ \(2b^8\) เป็นคำตอบของเรา

เลขยกกําลังเศษส่วน (ราก)

เนื่องจากเราได้เรียนเรื่อง รากที่สอง รากที่สาม และ รากที่ \(n\) กันไปแล้ว เรื่องเลขยกกำลังนี้ก็มีความเกี่ยวเนื่องกับรากอยู่เหมือนกันครับ โดยเราจะมีวิธีการเขียนรากในรูปแบบของการยกกำลัง โดยรากที่ \(n\) เราจะเขียนเป็นยกกำลัง \(\dfrac{1}{n}\) ใช่แล้วครับน้อง ๆ เลขยกกำลังเศษส่วน

\(\sqrt[n]{a}=a^{\frac{1}{n}}\)

ตัวอย่างเช่น \(5^{\frac{1}{2}}=\sqrt{5}\) การที่เรายกกำลังด้วย \(\dfrac{1}{2}\) ก็คือการที่เราถามหา รากที่สอง หรือใส่เครื่องหมายกรณฑ์ที่สองเข้าไปนั่นเอง

จงเขียน \(\sqrt[4]{5}\) ในรูปของเลขยกกำลัง

เฉลย

\(5^{\frac{1}{4}}\)

ซึ่งการเขียนรากแบบเลขยกกำลังมันจะไปเกี่ยวเนื่องกับการแก้สมการที่มีเลขยกกำลังเศษส่วนติดอยู่นั่นเอง เช่น บางทีน้องอาจจะเจอโจทย์ที่ให้มาเป็นราก และถ้าเราแปลงเป็นเลขยกกำลังอาจจะแก้ได้ง่ายกว่าโดยการใช้สมบัติของเลขยกกำลัง

สมการเลขยกกำลัง

หากน้อง ๆ จำได้ เราได้เรียนเรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวกันไปแล้วในระดับชั้น ม.1 ซึ่งการแก้สมการนั้นก็คือ การกระทำตัวดำเนินการมทางคณิตศาสตร์ทั้งสองฝั่งเหมือน ๆ กัน เช่น

\(x-6{\color{red}{+6}}=3{\color{red}{+6}}\)

เราจะนำ \(6\) ไปบวกให้ทั้งสองฝั่งของสมการเพื่อให้ฝั่งซ้ายเหลือแต่ \(x\) และได้คำตอบเป็น

\(\require{cancel}\begin{aligned} x-\cancel{6}+\cancel{6}&=9\\ x&=9 \end{aligned}\)

1. ยกกำลังด้วยส่วนกลับ

ในเรื่องการแก้สมการที่ติดเลขยกกำลัง แบบนึงที่น้อง ๆ สามารถเจอได้ก็คือ เลขยกกำลังเศษส่วนครับ เช่น สมมติ \(4^{\frac{1}{x}}=2\) หากเราอยากกำจัดเศษส่วนในเลขยกกำลัง วิธีนึงที่สามารถทำได้ก็คือ การยกกำลังด้วยส่วนกลับของมันทั้งสองฝั่งของสมการ อย่าลืมนะครับว่าการทำอะไรในสมการนั้น เราต้องทำพร้อมกัน เหมือนกันทั้งสองฝั่ง

จากโจทย์ที่เรามี \(4^{\frac{1}{x}}=2\) พี่จะยกกำลังด้วยส่วนกลับของ \(\frac{1}{x}\) ซึ่งก็คือ \(x\) เราจะได้ว่า \(\left(4^\frac{1}{x}\right)\color{red}{^x}=2\color{red}{^x}\) สมบัติเลขยกกำลัง บอกว่า ถ้าเราเจอกำลังซ้อนกันแบบนี้ ให้เราคูณเลขยกกำลังได้เลย ดังนั้น \(4^{\frac{1}{x}\times x}=2^x\) ด้านซ้ายเศษส่วนจะตัดกันครับ จะเหลือแค่ \(4=2^x\) เราจึงตอบได้ว่า \(x=2\) เพราะ สองยกกำลังสองได้สี่ นั่นเอง

ตัวอย่าง ต่อมา หากกำหนดให้ \(7^a=2\) จงหาค่าของ \(8^{\frac{1}{a}}\)

ถ้าสังเกตดี ๆ \(7^a=2\) เจ็ดยกกำลังอะไรได้สอง มันไม่น่าหาเป็นจำนวนเต็ม ๆ หรือจำนวนง่าย ๆ ออกมาได้เลย ดังนั้นข้อนี้เราจะไม่แก้หาค่า \(a\) ออกมาตรง ๆ แต่จะใช้วิธี แปลงสิ่งที่โจทย์ให้มาเป็นสิ่งที่โจทย์ถาม* ติดดาวไว้ได้เลยครับน้อง ๆ ทริคการทำโจทย์อีกรูปแบบที่เจอบ่อยในข้อสอบก็คือการจัดรูป แต่ไม่ต้องหาค่าตัวแปรออกมาจริง ๆ นั่นเอง

โจทย์ถามหา \(8^{\frac{1}{a}}\) ยกกำลัง \(\frac{1}{a}\) แต่โจทย์ให้ยกกำลัง \(a\) เรามา ดังนั้น วิธีนึงที่ทำได้ก็คือนำสมการ \(7^a=2\) มายกกำลังด้วย \(\frac{1}{a}\) ทั้งสองข้าง

\(\require{cancel}\begin{aligned} \left(7^a\right)^\frac{1}{a}&=2^\frac{1}{a}\\ 7^{a\times \frac{1}{a}}&=2^\frac{1}{a}\\ 7&=2^\frac{1}{a} \end{aligned}\)

อ่าว แต่โจทย์ถาม \(8^\frac{1}{a}\) นิ ซึ่งเรารู้แค่ \(2^\frac{1}{a}=7\) หากน้อง ๆ สังเกตดี ๆ จะเห็นว่า \(8=2^3\) ดังนั้น เราสามารถทำฐานให้เท่ากับสิ่งที่เรามีได้ เผื่อจะได้ใช้สมบัติเลขยกกำลังมาช่วย

โจทย์ถามหา \(8^\frac{1}{a}=\left(2^3\right)^\frac{1}{a}=\left(2^\frac{1}{a}\right)^3\) ทีนี้เราก็ได้สิ่งที่เรามีแล้วครับ เรารู้ว่า \(2^\frac{1}{a}=7\) ดังนั้น \(\left(2^\frac{1}{a}\right)^3=7^3=7\times7\times7=343\)

2. ทำฐานให้เท่ากัน

ถ้าเรามีสมการและมีเลขยกกำลังอยู่ในสมการด้วย เราจะมีทริคการแก้โจทย์สองแบบด้วยกัน แบบแรกคือ การทำฐานให้เท่ากัน การทำฐานให้เท่ากัน สิ่งที่เราจะได้ก็คือ เราสามารถจับเลขยกกำลังมาเท่ากันได้เลย

สมมติว่าเรามีโจทย์ \(3^{x+2}=9^{2x-5}\) สิ่งที่เราเห็นก็คือ ฐานไม่เท่ากัน แต่ฐานนั้น สัมพันธ์กันในรูปแบบของเลขยกกำลัง แบบนี้เราจะพยายามแปลงฐานให้เท่ากัน เมื่อเรารู้ว่า \(9=3^2\) เราจะแปลงให้ฝั่งขวาอยู่ในรูปแบบของ ฐาน \(3\) ด้วยเช่นกัน

\(\require{cancel}\begin{aligned} 3^{x+2}&=\color{blue}{\left(3^2\right)}^{2x-5}\\ 3^{x+2}&=3^{2\times{(2x-5)}}\\ 3^{x+2}&=3^{4x-10} \end{aligned}\)

เมื่อเราแปลงโจทย์ให้ฐานเท่ากันแล้ว เราสามารถจับเลขยกกำลังมาเท่ากันได้เลย จะได้ว่า \(x+2=4x-10\) ซึ่งเราก็จะแก้สมการออกมาได้เป็น \(3x=12\rightarrow x=4\)

ทริคการตรวจคำตอบ

เวลาทำโจทย์ส่วนมากมีโอกาสที่เราจะคิดเลขผิดแน่นอนอยู่แล้วครับ ซึ่งหากการตรวจคำตอบไม่ได้ทำให้เราเสียเวลาเยอะ พี่อยากให้น้อง ๆ แทนค่าคำตอบกลับไปในสมการที่เรามีด้วยว่าถูกต้องหรือไม่ อย่างข้อบนเมื่อเรารู้ว่า \(x=4\) เราจะแทนในส่วนของเลขยกกำลัง \(x+2\) และ \(4x-10\) ปรากฎว่าทั้งสองมีค่า \(6\) ดังนั้น คำตอบจึงถูกต้องแล้ว

3. ทำเลขยกกำลังให้เท่ากัน

หากตัวฐานมันไม่มีความสัมพันธ์กันในเชิงเลขยกกำลังและเราไม่สามารถทำฐานให้เท่ากันได้ อีกวิธีคลาสสิกที่น้อง ๆ สามารถทำได้ก็คือการจัดรูปให้เลขยกกำลังเท่ากัน จากนั้นเราจะแก้สมการจับฐานเท่ากันได้เลย

สมมติว่าเรามี \((x+2)^{13}=6^{26}\)

เนื่องจากสิ่งที่เราต้องการ คือ \(x\) และ \(x\) ของเราก็เป็นตัวฐาน ดังนั้น เราอยากได้สมการที่สามารถจับฐานเท่ากันมาแก้สมการได้ ข้อนี้เราจึงอยากจะแปลงเลขยกกำลังให้เท่ากันเพื่อจะได้ตัดออกได้

เนื่องจากเลขยกกำลังฝั่งซ้ายคือ \(13\) แต่ฝั่งขวาเราเป็น \(26\) ดังนั้นเราจะแยกตัวประกอบของตัวมากกว่าให้มีติดเลขตัวน้อยกว่า เนื่องจากเรารู้ว่า \(26=13\times 2\)

\(\require{cancel}\begin{aligned} (x+2)^{13}&=6^{13\times 2}\\ (x+2)^{13}&=6^{2\times 13}\\ (x+2)^{13}&=(6^2)^{13}\\ \end{aligned}\)

เนื่องจากเรามีเลขยกกำลังที่เท่ากัน เราสามารถตัดเลขยกกำลังและจับฐานเท่ากันได้เลย จะได้ว่า

\(\)

\(\require{cancel}\begin{aligned} x+2&=6^2\\ x+2&=36\\ x&=34 \end{aligned}\)

จงหาค่าของ \(x\) เมื่อ \(3^{x-1}=\dfrac{\sqrt{3}}{9}\)

เฉลย

ข้อนี้เราจะสังเกตว่ามีเลขยกกำลังปนกับราก ดังนั้นเราจะแปลงทุกอย่างเป็นเลขยกกำลังและฐานให้เป็น \(3\) ทั้งหมด หากน้อง ๆ มองเร็ว ๆ \(9\) ก็คือ \(3^2\) ดังนั้น เราสามารถเปลี่ยนเป็นฐาน \(3\) ได้เหมือนกันครับ

\(\require{cancel}\begin{aligned} 3^{x-1}&=\dfrac{3^{\frac{1}{2}}}{3^2}\\ \end{aligned}\)

ฝั่งขวาเราสามารถนำเลขยกกำลังมาลบกันได้ เพราะฐานเท่ากันหารกันอยู่

\(\require{cancel}\begin{aligned} 3^{x-1}&=3^{\frac{1}{2}-2}\\ x-1&=\dfrac{1}{2}-2\\ x-1&=-\dfrac{3}{2}\\ x&=-\dfrac{1}{2} \end{aligned}\)

ถ้า \(32^{2x-1}=\dfrac{1}{4}\) จงหาค่าของ \(x\)

เฉลย

ข้อนี้พี่อยากให้น้อง ๆ สังเกตที่ตัวฐานครับ ฐานเราคือเลข \(32\) และก็ เลข \(4\) ซึ่งหากเราอยากทำฐานให้เท่ากัน น้อง ๆ ไม่สามารถจะเขียน \(32\) ในรูปของ \(4^a\) ได้ (กรณีที่เราอยากแปลงฐานเป็น \(4\)) แต่ \(4\) ก็ยังไม่ใช่ฐานที่ต่ำที่สุด เพราะ \(4=2^2\) เราสามารถแปลงเป็นฐาน \(2\) ก็ได้นะ และก็เลข \(32\) เราสามารถแปลงเป็น \(2^5\) ได้ ดังนั้นในข้อนี้เราจะแปลงฐานเท่ากัน โดยใช้ฐานเป็นเลข \(2\)

\(\require{cancel}\begin{aligned} \left(2^5\right)^{2x-1}&=\dfrac{1}{2^2}\\ 2^{5\times(2x-1)}&={2^{-2}}\\ \end{aligned}\)

เมื่อเราได้ฐานที่เท่ากัน เราสามารถจับเลขยกกำลังเท่ากันได้เลย จะได้เป็น \(5\times(2x-1)=-2\Rightarrow10x-5=-2\) คำตอบคือ \(x=\dfrac{3}{10}\)

4. เลขยกกำลังที่ผลเป็นหนึ่ง

สมการในอีกรูปแบบที่น้อง ๆ สามารถเจอได้ก็คือการใช้สมบัติของเลขยกกำลังที่เรารู้ว่า \(a^0=1\) และ \(1^a=1\)

\((a^0=1)\Rightarrow\) อะไรยกกำลัง \(0\) ได้ \(1\)
\((1^a=1)\Rightarrow\) \(1\) ยกกำลังอะไรก็จะได้ \(1\)

จะสังเกตว่าทั้งสองกรณีเราได้คำตอบเป็น \(1\) ทั้งคู่ ดังนั้น หากเรามี \((x+2)^{x-3}=1\) แบบนี้ เราไม่มีทางไปยกกำลังจริง ๆ ได้เลยครับ แต่เรารู้ว่าผลลัพธ์ฝั่งขวาเป็น \(1\) ซึ่ง แสดงว่า เรามีสองกรณี

แบบแรก คือ ฐานเป็น \(1\) เราจะได้ว่า \(x+2=1\) แก้ได้เป็น \(x=-1\)

แบบสอง คือ เลขยกกำลังเป็น \(0\) เราจะได้ว่า \(x-3=0\) แก้ได้เป็น \(x=3\)

ดังนั้น ข้อนี้ตอบว่า \(x=-1,3\)

หากบทความพี่เป็นประโยชน์ ฝากแชร์ต่อให้เพื่อนๆ ด้วยนะครับ :')